สบู่ในห้องน้ำสาธารณะ...ใครว่าไม่สำคัญ ?


สบู่ในห้องน้ำเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวยง สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติมมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึง 25% ส่วนสบู่เหลวแบบหมดแล้วทิ้งไม่พบเลย

ทั่วโลกต่างเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะระบาดอีกเป็นระลอกสอง โดยทางกระทรวงสาธารณสุขก็มีโครงการรณรงค์ให้คนไทยรู้จักป้องกันโรคดังกล่าว ด้วยสโลแกนที่จดจำง่ายอย่าง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย”

 

อย่างไรก็ตาม ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่รีบเร่งจนบางครั้งอาจไม่ยั้งคิดว่า เรื่องใกล้ตัวอย่างการล้างมือด้วยสบู่ในห้องสาธารณะ ทั้งในร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยอาริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติมมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึง 25%

งานวิจัยครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์หาเชื้อปนเปื้อนที่แฝงอยู่ในสบู่ที่ตาคนเรามองไม่เห็น โดยได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่จำนวน 541 ตัวอย่างทั้งที่เป็นสบู่เหลวแบบเติม และสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) พบว่า สบู่แบบเติม 133 ตัวอย่าง หรือ 25% มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน

65% ของเชื้อที่พบคือ เชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่น ที่มีโอกาสส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง ซึ่งสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่นั่นเอง

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจในการศึกษาในครั้งนี้ก็คือสบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) กลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราจึงควรหันมาใส่ใจในการล้างมือในที่สาธารณะให้มากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นการล้างมือเพื่อรักษาความสะอาด สร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี จะกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมเชื้อโรคไปแบบไม่รู้ตัว

นอกจากการล้างมือด้วยสบู่เหลวแล้ว จากการวิจัยของ American Journal of Preventive Medicine 2001 พบว่า การล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกวิธีอย่างน้อย 5 ครั้งต่อวันก็สามารถลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึง 45%

การศึกษาของมหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ยังชี้ว่า การใช้กระดาษเช็ดมือทุกครั้ง หลังการล้างมือ ยังสามารถช่วยให้แบคทีเรียลดลงถึง 58% ในขณะที่การใช้เครื่องเป่าลมร้อนพบว่าแบคทีเรียในมือเพิ่มขึ้น 255% อีกด้วย

แหล่งที่มา : http://women.thaiza.com