|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Sheet No. : TR-MN-05 December 09 |
เมื่อได้รับมอบหมายจากเจ้าของโครงการให้ทำหน้าที่บริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ จะเริ่มเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในโครงการ ผู้เกี่ยวข้องของทีมงาน ได้แก่ ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการ, ที่ปรึกษาโครงการ และผู้จัดการโครงการ / หัวหน้าโครงการ จะต้องจัดประชุมเพื่อตระเตรียมงานและกำหนดแนวทาง และนโยบายในการปฏิบัติงาน, การประสานงาน, ช่องทางการติดต่อสื่อสาร ทั้งการติดต่อภายในบริษัทฯ และการติดต่อกับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ในโครงการนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจ และความรวดเร็วในการปฏิบัติหน้าที่ในโครงการ ทำให้ไม่เกิดความสับสน รายละเอียดต่างๆ ที่จะต้องตระเตรียม, ชี้แจงและสรุปแนวทางเพื่อที่จะเริ่มเข้าปฏิบัติหน้าที่ในโครงการ จะมีหัวข้อดังต่อไปนี้ :- หัวข้อที่ 1 : ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการจะต้องชี้แจงรายละเอียดของโครงการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ดังนี้ :-
หัวข้อที่ 2 : ที่ปรึกษาโครงการร่วมกับผู้จัดการโครงการ / หัวหน้าโครงการ จะต้องตระเตรียมการภายในบริษัทฯ ดังนี้ :-
หัวข้อที่ 3 : การติดต่อสื่อสารต่างๆ ทางผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการร่วมกับที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งผู้จัดการโครงการ / หัวหน้าโครงการ จะกำหนด Flow Chart ของการติดต่อสื่อสาร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท อันได้แก่ :-
|
Sheet No. : TR-MN-04 February 08 |
การปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารโครงการ และควบคุมงานก่อสร้างก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าผลงานที่ออกมาจะเป็นด้านนามธรรมมากกว่ารูปธรรม แต่ก็สามารถเชื่อมโยงกับผลงานที่เป็นรูปธรรมซึ่งดำเนินการโดยผู้รับเหมานั่นคือ โครงการที่แล้วเสร็จมีคุณภาพการใช้งานที่ดี ใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนด รวมทั้งงบประมาณการก่อสร้างไม่บานปลาย ดังนั้นหากเราสามารถควบคุมให้กระบวนการดำเนินงานการก่อสร้างเป็นไปตามเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โอกาสที่จะได้ผลงานตามเป้าหมายก็จะมีมากขึ้น แต่เราเองจะต้องมีวิธีปฏิบัติในการควบคุมการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในการนี้คือการทำงานในเชิงรุกนั่นเอง นิยามของการทำงานในเชิงรุก คือ ทุกคนที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานต้องมีความเตรียมพร้อมในการทำงานแต่ละกระบวนการ ถ้าเราลองนึกถึงโครงการก่อนๆ ที่พวกเรามีประสบการณ์ผ่านมา จะเห็นได้ว่าหากบุคลากรของผู้รับเหมามีประสบการณ์ในการทำงานที่มากพอ เราเองก็จะทำงานร่วมกันได้ง่าย ในทางตรงกันข้ามถ้าบุคลากรดังกล่าวเป็นประเภทมือใหม่หัดขับ เราเองก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่อาจบรรเทาความลำบากใจของคณะทำงานคือการเตรียมความพร้อมในแต่ละกระบวนการก่อสร้างของพวกเรา เพื่อให้คำปรึกษาที่มีประโยชน์ต่อโครงการให้ผู้รับเหมานำไปปฏิบัติ ในความเป็นจริงคาบเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการจะสามารถแบ่งเป็น 3 คาบหลักๆ คือ
การทำงานในเชิงรุก คือ เราควรต้องศึกษารายละเอียดของงานที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงล่วงหน้า และพิจารณาดูว่าผู้รับเหมาจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านใดบ้าง หากผู้รับเหมาสามารถเตรียมความพร้อมได้ดีในระดับหนึ่ง งานที่ดำเนินการก็จะแล้วเสร็จอย่างมีคุณภาพภายในระยะเวลากำหนด และงบประมาณไม่บานปลาย แต่ก็ไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี ก็จะเกิดงานชั่วคราวขึ้นมากมาย ซึ่งผู้รับเหมาต้องกลับไปทำงานซ้ำ (Re-Work) ซึ่งผลงานที่ได้จะออกมาในทางตรงกันข้าม คือ ไม่มีคุณภาพ เสร็จไม่ทันตามกำหนด และเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน ฯลฯ เป็นต้น พวกเราบางคนอาจคิดว่า การไม่เตรียมพร้อมของผู้รับเหมาไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ควบคุมงานโดยตรง ซึ่งความคิดนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เจ้าของโครงการที่ว่าจ้างให้เราเข้าไปทำหน้าที่บริหารโครงการ และควบคุมงานก่อสร้าง ก็เพราะเห็นว่าเราเป็นบริษัทฯ ที่มีชื่อเสียงและมีโครงการอ้างอิงแล้วเสร็จมากมาย คงจะใช้ประสบการณ์ในการผ่านงานมามากมายเพื่อให้คำแนะนำ (Instruct) ผู้รับเหมาให้ดำเนินการในการกระบวนการก่อสร้างให้เป็นไปตามเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อลดปัญหาอุปสรรคต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุด ดังนั้นจึงอยากจะขอชี้แนะนำแนวทางของการทำงานในเชิงรุกในแต่ละคาบเวลาที่ใช้ในการก่อสร้าง เพื่อให้พวกเราลองนำไปปฏิบัติในโครงการที่ตนเองรับผิดชอบ ซึ่งน่าจะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง, บริษัทฯ และโครงการที่ได้รับมอบหมายบ้างไม่มากก็น้อยดังนี้ 1. ระยะก่อนการก่อสร้าง (Pre-Construction Period)
2. ระยะการก่อสร้าง (Construction Period) ในระยะนี้ผู้รับเหมาได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างงานที่ตนเองรับผิดชอบ ซึ่งผู้ควบคุมงานต้องทำงานตรวจสอบ, ทดสอบงานเพื่อให้ได้เปอร์เซ็นต์ความคืบหน้าตามกำหนดการ ดังนั้นความเตรียมพร้อมในการทำงานของผู้ควบคุมงาน ได้แก่
3. ระยะหลังการก่อสร้าง (Post-Construction Period) ในระยะนี้รายการงานที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ คือการตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องครั้งสุดท้าย รวมทั้งการทดสอบการทำงานของเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ควบคุมงานต้องเตรียมความพร้อมในการศึกษารายละเอียดของเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ต้องทำการทดสอบ โดยควรศึกษาจากคู่มือการติดตั้ง, การทดสอบและการบำรุงรักษาที่โรงงานผู้ผลิตส่งมาให้ รวมทั้งต้องให้ผู้รับเหมาจัดส่งแบบฟอร์มการทดสอบ (Test Report) มาให้เราตรวจสอบเพื่ออนุมัติแต่เนิ่นๆ ซึ่งนอกจากต้องทดสอบเครื่องจักรแต่ละตัวแล้ว ขั้นสุดท้ายจะต้องทำการทดสอบและปรับแต่งการทำงานของระบบ (System Operation) ของแต่ละระบบให้สองคล้องกับแนวคิดการออกแบบ (Concept Design) ของผู้ออกแบบที่ได้มาชี้แจงตั้งแต่ต้นโครงการ หากเป็นไปได้ควรเชิญผู้ออกแบบมาตรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายเพื่อความถูกต้องครบถ้วนของงานก่อนทำการทดสอบ จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น จะเห็นได้ว่ากระบวนการก่อสร้างโครงการทุกโครงการจะมีจุดเริ่มจนถึงจุดสุดท้ายไม่แตกต่างกัน จะแตกต่างกัน คือขนาดและความสลับซับซ้อนของแต่ละโครงการ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ควบคุมงานมีความเตรียมพร้อมในการทำงานในแต่ละกระบวนการอย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถดำเนินงานในเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะวัดได้จากผลสำเร็จของโครงการในด้านคุณภาพ ระยะเวลาก่อสร้าง และงบประมาณที่ใช้ รวมทั้งความพึงพอใจของเจ้าของโครงการที่มีต่อการบริการของการบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้างของพวกเรานั่นเอง |
Sheet No. : TR-MN-03 October 07 |
วิชาชีพวิศวกรรมเป็นวิชาชีพที่ต้องการบุคคลผู้กอร์ปด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และมีความรู้ความสามารถทางวิศวกรรมเป็นอย่างดี วิศวกรจะต้องปฏิบัติวิชาชีพด้วยความเที่ยงธรรมและมีสัจจะ ความมุ่งหมายของจรรยาบรรณนี้ ก็เพื่อเป็นหลักยึดในการปฏิบัติวิชาชีพ เพื่อความยุติธรรมและความเหมาะสม จรรยาบรรณสำหรับการประพฤติตนในการประกอบวิชาชีพของวิศวกรนั้น ว.ส.ท.ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นรากฐานแห่งการเสริมสร้างศรัทธา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการให้บริการทางวิศวกรรม การกระทำใดๆ ของสมาชิกของ ว.ส.ท. ที่ผิดไปจากบัญญัติ เรื่องจรรยาบรรณข้อใดข้อหนึ่งที่ ว.ส.ท. ได้กำหนดไว้นี้ให้ถือว่าสมาชิกผู้นั้นได้กระทำผิดทางวิชาชีพ และจะต้องได้รับการพิจารณาโทษทางวินัยโดย ว.ส.ท. 1. พันธกรณีต่อวิชาชีพ
2. พันธกรณีต่อสาธารณะ
3. พันธกรณีต่อผู้ว่าจ้าง
4. พันธกรณีต่อวิชาชีพ
|
Sheet No. : TR-MN-02 September 07 |
|
Sheet No. : TR-MN-01 September 07 |
|